มาทำความรู้จัก คำคมจากอิศรญาณภาษิต

‘อิศรญาณภาษิต’ เป็นภาษิตประเภทหนึ่ง โดยมีเนื้อหาเรียบง่ายสอนการใช้ชีวิตแบบเตือนสติ อีกทั้งยังมีเนื้อหาแนะนำเกี่ยวกับการประพฤติปฏิบัติให้ผู้อื่นชอบพอ มีเนื้อหาสอนว่าต้องทำอย่างไร จึงจะสามารถอยู่ในสังคมนี้ได้ โดยไม่ทำให้เกิดภัยแก่ตน ทำอย่างไรจึงจะประสบความสำเร็จในชีวิต บางตอนก็แสดงให้เห็นถึงคุณค่า รวมทั้งความสำคัญของผู้อื่นอย่างไม่สบประมาทกันและกัน โดยใน ‘อิศรญาณภาษิต’ มีทั้งคำสอนที่เป็นการบอกตรงๆ และคำสอนจากการใช้คำประชดประชันเหน็บแนม เนื้อหาส่วนใหญ่จะเน้นสั่งสอนให้ผู้อ่านเกิดปัญญา ไม่หลงใหลได้ปลื้มไปกับคำเยินยอ และสอนให้คุณรู้จักคิดก่อนพูด ให้ความเคารพผู้มีอายุมากกว่า รวมทั้งรู้จักความกตัญญู ‘อิศรญาณภาษิต’ คือ พระนิพนธ์ของหม่อมเจ้าอิศรญาณ มีเรื่องราวสืบทอดกันมาว่า ท่านเป็นผู้มีจริตอันผิดแผก ซึ่งมีครั้งหนึ่งพระองค์ได้กระทำสิ่งวิปริตลงไป ทำให้พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวตรับริภาษว่าเป็นบ้า ด้วยความน้อยพระทัยท่านจึงนิพนธ์เพลงยาวฉบับนี้ขึ้นมา ด้วยความรู้สึกอัดอั้นอันเปี่ยมล้น แต่ถึงอย่างไรก็ตาม มีผู้วิเคราะห์ไว้ว่า ‘อิศรญาณภาษิต’ มิใช่พระนิพนธ์ของหม่อมเจ้าอิศรญาณพระองค์เดียว แต่ท่านทรงนิพนธ์ไว้เพียงแค่บทแรกเท่านั้น จากการคาดการณ์คิดว่าท่านทรงนิพนธ์จนถึง ‘ปุถุชนรักกับชังไม่ยั่งยืน’ เพราะมีลีลาในการแต่งด้วยการใช้น้ำเสียงเหน็บแนม และเต็มไปด้วยความประชดประชันอย่างรุนแรงซึ่งสามารถสัมผัสได้อย่างชัดเจน ส่วนอื่นๆที่เหลือเป็นของบุคคลอื่นแต่งต่อ แต่ไม่ทราบว่าใครแต่ง โดยเป็นการสอนเรื่องทั่วๆในชีวิตของมนุษย์ มีลีลาของบทประพันธ์แบบเรียบๆ มุ่งสั่งสอนจากผู้มีประสบการณ์ในชีวิต ประวัติของ หม่อมเจ้าอิศรญาณ มหากุล ผู้แต่ง ‘อิศรญาณภาษิต’ ท่านเกิดในปีพ.ศ. 2367 แต่ไม่ทราบวันที่กับเดือนแน่นอน ท่านเป็นโอรสในพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโต กรมหลวงมหิศวรินทรามเรศร์ พระองค์ทรงผนวช ณ วัดบวรนิเวศวิหาร มีพระชนม์ชีพอยู่ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และมีเรื่องเล่าลือกันว่า มีเหตุการณ์หนึ่งพระองค์ทรงทำพฤติกรรมที่แตกต่างไม่เหมือนใคร จึงทำให้ใครๆ …

ประวัติกวีไทยอัจฉริยะ ชิต บุรทัต

กวีไทยอัจฉริยะ นาย ชิต บุรทัต วันเกิด 6 กันยายน พ.ศ. 2435 นามสกุลเดิมของท่าน คือ ‘ชวางกูร’ ท่านเป็นบุตรชายของ นายชู กับ นางปริก โดยท่านเป็นผู้มีทักษะโดดเด่น ในเรื่องการแต่งร้อยกรอง โดยเฉพาะ ฉันท์ อันเป็นกวีซึ่งมีชื่อเสียงในสมัยรัชกาลที่ 6 นายชู ผู้เป็นบิดาเป็นครูสอนภาษาบาลี ประจำอยู่ที่โรงเรียนวัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม จึงทำให้ท่านมีความรู้ความชำนาญในการอ่านคำประพันธ์ประเภทร้อยกรองเป็นทำนองเสนาะเป็นอย่างมาก นายชิต บุรทัต เข้าศึกษา ณ โรงเรียนวัดราชบพิธ จนกระทั่งจบชั้นมัธยม ที่โรงเรียนวัดสุทัศน์ ต่อมาเมื่อท่านมีอายุ 15 ปี จึงบวชเป็นสามเณร ณ วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม แต่บวชได้ไม่นานก็ลาสิกขา ทักษะส่วนตัว นายชิต มีความสนใจในเรื่องการอ่านเขียน ตลอดจนมีความเชี่ยวชาญเรื่องภาษาไทย , ภาษาบาลี อีกทั้งยังมีทักษะภาษาอังกฤษอยู่ในเกณฑ์ใช้ได้ จนกระทั่งท่านเริ่มลงมือประพันธ์เมื่ออายุได้ 18 ปี ต่อมานายชิต กลับมาบวชสามเณรอีกครั้ง ณ วัดบวรนิเวศวิหาร รวมทั้งเริ่มลงมือเขียนงานประพันธ์เป็นครั้งแรก โดยใช้นามปากกา ‘เอกชน’ จนกระทั่งเป็นที่รู้จักกันดีในช่วงเวลานั้น และสามเณรชิตยังได้รับงานจากองค์สภานายกหอพระสมุดวชิรญาณ ให้เข้าร่วมแต่งฉันท์สมโภช …

ความหมายของ ‘กวีนิพนธ์ร่วมสมัย’ คืออะไร ?

กวีนิพนธ์ คือ รูปแบบอันแสดงออกถึงความเป็นศิลปะอีกประเภทหนึ่ง โดยมนุษย์นำภาษามาใช้เพื่อสร้างคุณประโยชน์ ทางด้านสุนทรียะ เป็นการเพิ่มเติมเนื้อหาทางความหมายให้ลึกยิ่งขึ้น จัดเป็นส่วนหนึ่งของงานวรรณกรรม สำหรับคำประพันธ์ที่นักกวีแต่ง จัดเป็นงานเขียนที่มีวรรณศิลป์ สามารถกระตุ้นให้ผู้อ่านเกิดอารมณ์ได้ โดยคำที่มีความหมายไปในทางเดียวกัน ก็คือ ร้อยกรอง ถ้อยคำที่ถูกเรียบเรียงให้ถูกต้องตามฉันทลักษณ์ ด้วยกาลเวลาที่ไม่เคยหยุดนิ่ง ทุกสรรพสิ่งล้วนต้องเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา จึงทำให้กวีนิพนธ์เอง ก็ต้องมีการเปลี่ยนแปลงตามไปด้วย เพื่อให้เข้ากับยุคสมัยเข้าถึงผู้คนรุ่นใหม่ให้มากขึ้น กวีนิพนธ์ มีความเจริญมากที่สุด ในสมัยรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว แต่หลังจากนั้นจึงเริ่มเข้าสู่ยุคร้อยแก้ว จนกระทั่งถึงสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทำให้การศึกษารวมทั้งการสื่อสารทางสิ่งพิมพ์ของไทยมีการพัฒนาขึ้น จึงทำให้การแต่งกวีที่มีเรื่องราวยาวๆ ก็กลายเป็นบทสั้นๆ ยกตัวอย่างเช่น บทสดุดี , บทเฉลิมพระเกียรติ , ตลอดจนการถ่ายทอดอารมณ์ ก็ยังคงมีความเข้มงวดอันอยู่ภายในกรอบตามตำรา แต่หลังจากปี พ.ศ.2516 เป็นต้นมา เหตุการณ์บ้านเมืองเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงไป ส่งผลให้เนื้อหาของกวีเปลี่ยนรูปแบบเป็นการสื่อความคิดเห็นส่วนบุคคล แสดงทรรศนะ อันเกี่ยวกับการเมือง การปกครอง รวมทั้งสังคม มากยิ่งขึ้น ส่งผลให้นักกวีส่วนหนึ่ง ปรับปรุงฉันทลักษณ์ของบทกวีให้มีความเหมาะสมกับ ในการสอดใส่เนื้อหาซึ่งใช้ถ่ายทอดความคิดได้อย่างอิสรเสรี เช่น การจำกัดจำนวนคำในวรรค ไม่เข้มงวดเท่ากันทุกวรรค ลดสัมผัสสระน้อยลง นำสัมผัสของอักษรมากำหนดจังหวะรวมทั้งลีลาโดยรวมของกลอน ไม่เข้มงวดในการเสียงวรรณยุกต์ท้ายวรรคเหมือนสมัยเก่า เน้นการใช้น้ำเสียงหนักเบา หรือสั้นยาว เพื่อถ่ายทอดอารมณ์และความรู้สึกนึกคิด เลือกถ้อยคำง่ายๆ อย่างตรงไปตรงมา ในทำนองภาษาพูดมากกว่าการใช้โวหาร อีกทั้งยังมีเนื้อหาไปในทางกลอนชาวบ้านมากขึ้น …

คําพูดตลกๆ ที่คนไทยพูดติดปากกันตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน

บทกวี กลอน คำคม คำพูดตลก 01

ภาษาใดไม่มีการพัฒนาคือภาษาที่ตายแล้ว สำหรับภาษาไทยก็เป็นอีกภาษาหนึ่งซึ่งมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว และมีการพัฒนา – เปลี่ยนไป – เกิดใหม่ – เลิกใช้ ตามยุคสมัยอยู่เรื่อยๆ จนทำให้เกิด ‘คำพูดหรือประโยค’ที่ฟังดูแล้วตลกขบขันมาจนถึงปัจจุบัน ‘คำพูดหรือประโยค’ เหล่านั้นมีอะไรกันบ้างมาอ่านกันเลยค่ะ กิ้ฟเก๋ยูเรก้า ! เป็นคำที่หลายๆคนได้ยินมาตั้งแต่สมัยเด็กๆ ในยุคปัจจุบันนี้ก็ยังมีคนพูดอยู่บ้างนะ ถึงจะส่วนน้อยก็เถอะ เป็นคำซึ่งฟังดูแล้วตลกและน่าสนใจจริงๆ ใช้พูดตอนชมความคิด,สิ่งของ,สไตล์การแต่งตัวต่างๆในด้านดี เช่น ‘สร้อยคอชิ้นนี้ดูกิ้ฟเก๋ยูเรก้ามาก’ เป็นต้น ความเป็นมาของคำนี้แบ่ง 2 ส่วน ได้แก่ ‘เก๋’ มาจากภาษาฝรั่งเศสคำว่า ‘coquet’ และ ‘Eureka’ มาจากภาษาอังกฤษ เป็นคำอุทานแสดงถึงความดีใจ ที่สุดของแจ้ ศัพท์นี้ได้ยินกันบ่อยมากในวงการสาวประเภท 2 ณ ปัจจุบันก็ยังมีคนพูดกันอยู่ แต่อาจผิดเพี้ยนไปเป็น ‘ที่สุดของเจ๊’ กันบ้าง ความเป็นมาของคำนี้ต้องเท้าความไปถึงนักร้องชื่อดังสมัยก่อน ‘พี่แจ้ ดนุพล แก้วกาญจน์’ ซึ่งเขาคนนี้ร้องเพลงไว้เยอะมาก จนกระทั่งออกอัลบั้มหนึ่งขึ้นมา ชื่อว่า ‘ที่สุดของแจ้’ คือ อัลบั้มรวมเพลงเพราะที่สุด ซึ่งพี่แจ้ได้ร้องเอาไว้ เลยมีคนนำประโยคนี้มาเปรียบเทียบกับเรื่องที่สุดจริงๆ เป็นประโยคในเชิงบวก ใช้ชมอะไรสักอย่างหนึ่ง คุณหลอกดาว ยังเป็นอีกหนึ่งประโยคที่ยังมีคนพูดกันอยู่มากในปัจจุบัน โดยเฉพาะตามสื่อโซเชี่ยวต่างๆ …

กลอนหรือบทกวี ในแนวทางเพื่อชีวิตที่มีชื่อเสียงมากที่สุด

บทกวี กลอน คำคม คำพูดตลก

สำหรับผู้ที่ชื่นชอบมนต์เสน่ห์ของความคิดที่ส่งผ่านตัวหนังสือซึ่งผ่านการร้อยเรียงมาเป็นอย่างดีแล้วล่ะก็ เราจะมาแนะนำให้คุณรู้จักกับกลอนหรือบทกวีเพื่อชีวิตที่มีชื่อเสียงมากที่สุดอีกบทหนึ่งของโลกใบนี้ รวมทั้งชื่อเสียงเรียงนามของผู้แต่งด้วย คุณจะได้มีความเข้าใจใจบทกลอนเหล่านี้มากขึ้น ‘หลี่ ไป๋’ กวีจีนผู้ยิ่งใหญ่แห่งราชวงศ์ถัง ได้รับการยกย่องให้เป็น กวีผู้ยิ่งใหญ่ 1 ใน 2 คน เท่าที่เคยปรากฏมาในประเทศจีน โดยบทกวีของหลี่ไป๋ได้รับอิทธิพลจากเต๋า บวกกับการชอบดื่มสุรา เขาได้ใช้ชีวิตส่วนใหญ่ไปกับการท่องเที่ยว อันเนื่องมาจากเขามีฐานะดีจึงสามารถออกเดินไปยังสถานที่ต่างๆได้ มิใช่เป็นเพราะความยากจนจึงทำให้เขาต้องออกร่อนเร่ไปยังสถานที่ต่าง ๆ ตัวหลี่ไป๋เคยเล่าว่าครั้งหนึ่ง เขาพลัดตกจากเรือจมลงไปในแม่น้ำแยงซีขณะกำลังเมาสุรา เพราะพยายามจะจับเงาพระจันทร์ งานของหลี่ไป๋ ทางวรรณกรรมตะวันตกเองก็มีชื่อเสียงด้วยเช่นกัน เขาสร้างผลงานไว้มากกว่า 1,000 บทกวี มีความโดดเด่นในเรื่องของความชัดเจนและมหัศจรรย์ ผลงานของเขาสร้างสรรค์ออกมาจากแนวคิดของเต๋า ซึ่งเป็นลิทธิซึ่งสอนให้มนุษย์เป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ มีการใช้ชีวิตตามหลักธรรมชาติ และหนึ่งในบทกวีที่มีชื่อเสียงของกวีผู้นี้ คือ ผลงาน ‘ดื่มเดียวดายใต้เงาจันทร์’ หรือ ‘Drinking Alone under the Moon’ ซึ่งแสดงออกถึงการใช้ชีวิตของมนุษย์อันผสมผสานไปกับสรรพสิ่งบนโลก…เราได้นำบทกวีในภาษาจีนต้นฉบับเดิม และแปลภาษาไทยมาให้เรียบร้อยแล้ว 花間一壺酒。,ไหสุราประหนึ่งดัง ดอกไม้ 獨酌無相親。,ไร้เพื่อนดื่มเคียงกาย ผู้เดียว 舉杯邀明月。, ยกจอกขึ้นเชื้อเชิญจันทร์ กระจ่างใส 對影成三人。, ทอแสงรวมเงาข้า เป็นสาม 月既不解飲。, จันทร์เจ้าลอยเลื่อน ไม่อาจ ดื่มได้ 影徒隨我身。, เงาเจ้าคล้อยเคลื่อนตาม …

เรื่องราวสำคัญของ บีโธเฟ่น นักดนตรีอัจฉริยะ

หากให้เอ่ยชื่อยอดนักดนตรีอัจฉริยะตั้งแต่อดีต มาจนถึงปัจจุบันเชื่อว่าคงมีหลายคนไล่เรียงกันไม่หวาดไม่ไหวแน่นอน เนื่องจากแต่ละคนก็มีความชอบทางดนตรีไม่เหมือนกัน แต่คนหนึ่งที่เราต้องยอมรับเลยว่าเค้าคืออัจฉริยะทางดนตรีอย่างแท้จริง นั่นคือ บีโธเฟ่น ยอดนักดนตรีอัจฉริยะที่ไม่มีใครเหมือน เราจะหยิบเรื่องราวของเค้ามาเล่าให้ฟังกัน การเข้มงวดแบบสุดโต่งจากบิดา กว่าจะมาเป็นนักดนตรีอัจฉริยะได้ บีโธเฟ่น เองมีชีวิตในวัยเด็กที่ไม่ดีนัก เรียกว่า ขมขื่น เลยก็ว่าได้ เนื่องจากเค้าเกิดมาพร้อมกับความคาดหวังของบิดาให้เป็นนักดนตรี(บิดาเป็นนักดนตรี)ที่จะต้องการให้ บีโธเฟ่น เปิดการแสดงหารายได้ด้วยตัวเองได้ตั้งแต่ 6 ขวบ นั่นทำให้เค้าต้องเจอการสอน และการซ้อมดนตรีอันเข้มงวดแบบสุดโต่งจากบิดามาตั้งแต่เล็กแล้ว ตัวอย่างเช่น การขังไว้ในห้องกับเปียโน , การห้ามไม่ให้เล่นกับเพื่อน หรือพี่น้อง เพื่อซ้อมดนตรี จนทำให้เจ้าตัวเกิดอาการท้อแท้แต่เนื่องจากแม่ของเค้าไม่สบายจึงทำให้เค้าต่อสู้ต่อไป การโกหกเพื่อสร้างภาพลักษณ์ หลังจากพยายามอยู่นาน บีโธเฟ่น ก็ประสบความสำเร็จในการเล่นดนตรีเพื่อหารายได้ ตอนนั้นบิดาของเค้าได้โกหกคนทั่วไปว่า บีโธเฟ่น อายุเพียงแค่ 6 ขวบเท่านั้น (ซึ่งจริงๆแล้วบีโธเฟ่นอายุ 7 ขวบ) สาเหตุการโกหกนั่นเนื่องจากว่า บิดาต้องการให้ บีโธเฟ่น เดินตามรอยโมสาร์ท สองการเปิดตัวว่าเด็กเท่าไรจะได้รับความน่าสงสาร ความน่าสนใจและเงินบริจาคมากขึ้นด้วย เป็นการโกหกเพื่อสร้างภาพลักษณ์อย่างแท้จริง บิดาติดสุรา ผู้เป็นทุกอย่าง วัยเด็กของบีโธเฟ่น เค้าไม่ค่อยได้สนุกอย่างเด็กทั่วไปมากนัก ปัจจัยหลักเลยคือพ่อของเค้านั่นเอง ส่วนหนึ่งเป็นความคาดหวังของพ่อในการผลักดันบีโธเฟ่นแบบสุดโต่ง อีกสาเหตุหนึ่งคือ บิดาของเค้าติดสุราอย่างหนัก นั่นทำให้ชีวิตในวัยเด็กของเค้ายากลำบากขึ้นไปอีก เนื่องจากเงินจากการเล่นดนตรีหมดไปเป็นค่าสุราของบิดาตลอดจนกระทั่งบิดาเสียชีวิต ความเป็นอัจฉริยะของบีโธเฟ่น นอกจากความสามารถในฐานะนักดนตรี …

แนวคิดคำคมของคนดังทั่วโลก เค้าเป็นแบบไหน

คนดัง คนรวย คนประสบความสำเร็จนั้น ถือว่าเป็นเป้าหมาย เป็นไอดอลของใครหลายคนให้ดำเนินชีวิตตามแบบให้ได้ แต่การจะดำเนินชีวิตตามแบบเค้าได้นั้น สิ่งแรกที่เราต้องรู้จักเลยนั่นคือ แนวคิดของพวกเค้าว่าเป็นอย่างไร ซึ่งคนประสบความสำเร็จเหล่านี้มักจะมีนำเสนอแนวคิดคำคมของตัวเองให้ได้มาอ่านกัน เราได้รวบรวมอันเจ๋งๆมาเป็นแรงบันดาลใจให้ แจ็ค หม่า คนแรกเราขอหยิบคำคมสุดจิ๊ดของ แจ็ค หม่า มหาเศรษฐีชาวจีนผู้ก่อตั้งอาณาจักรอาลีบาบา เค้าเติบโตมาด้วยความยากลำบาก แต่ความเพียรพยายามจนทำให้ตอนนี้ประสบความสำเร็จแล้ว ประโยคเด็ดของเค้าได้แก่ โลกนี้จำไม่ได้หรอกว่าคุณพูดอะไรไป แต่จะไม่ลืมสิ่งที่คุณทำ นั่นแสดงให้ถึงพลังของการลงมือทำ ย่อมเป็นสิ่งสำคัญกว่าคำพูด บิล เกตส์ คนต่อมาเป็นมหาเศรษฐีระดับโลก เจ้าของบริษัทไมโครซอฟต์ที่เราใช้กัน แนวคิดของเค้านอกจากเรื่องของเทคโนโลยีแล้วเรื่องของเศรษฐกิจเค้าก็กล่าวไว้ว่าอย่างน่าสนใจ เค้ากล่าวว่า หากคุณเกิดมาจน ไม่ใช่ความผิดคุณ แต่หากคุณจากไปด้วยความจนนั่นแหละความผิดคุณ อ่านแล้วถ้าเกิดมาไม่พร้อม เกิดมาจนก็พัฒนาตัวเองกันซะ มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก คนที่สาม เราขอเอาคนดังเจ้าของ facebook อย่าง มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก เค้าก็เป็นอีกคนที่มีการดำเนินชีวิตน่าสนใจมาก การยอมออกจากมหาวิทยาลัยเพื่อมาทำ facebook นั้นถือว่าเป็นการตัดสินใจครั้งสำคัญของตัวเค้าเองและของโลกเลย เค้ากล่าวว่า อย่าให้ใครมาระบายสีให้ชีวิตของเรา ชีวิตของเรา เราเลือกเองได้ อย่าให้ใครมาขีดเส้น หรือ ระบายสีเพื่อให้เป็นไปตามที่เขาต้องการ อันนี้เค้าอยากให้เราดำเนินชีวิตตามใจของเราเอง ชีวิตของเราใช้ซะ เค้าว่ามาอย่างนั้น สตีฟ จ็อบ คนนี้ก็ถือว่าเป็นคนดังระดับโลกเช่นเดียวกัน นวัตกรรมยี่ห้อแอปเปิ้ลเป็นคำตอบได้เป็นอย่างดี …

โอกาสสำคัญในการฉลองยอดนักเขียนผู้ยิ่งใหญ่ทั้ง 2 คน

ยอดนักกวีเอกของโลกนั้น ต้องยอมรับเลยว่าผลงานของพวกท่านเหล่านั้นแม้ว่าจะผ่านเวลามาเป็น 100 ปี ผลงานของท่านก็ยังไม่เสื่อมคลายมนต์ขลัง ยังสามารถหยิบมาอ่านได้เสมอ ทั้งเนื้อเรื่อง และปรัชญาในการดำเนินชีวิต จึงไม่แปลกที่แต่ละประเทศจะมีการออกมาสรรเสริญนักกวีเอกของประเทศตนเอง อย่างเช่น วิลเลียม เช็คสเปียร์ส และ เซร์บันเตส กวีเอกจากสองประเทศ ที่บังเอิญเหลือเกินว่ามีการเฉลิมฉลองการเสียชีวิตในวันเดียวกันพอดี วิลเลียม เช็คสเปียร์ส กวีเอกจากอังกฤษ วิลเลียม เช็คสเปียร์ส กวีเอกจากอังกฤษ คิดว่าชื่อนี้คงไม่มีใครไม่รู้จักอย่างแน่นอน ยิ่งใครชอบอ่านงานวรรณกรรมด้วยแล้วงานของท่านเช็คสเปียร์สถือว่าเป็นงานระดับมาสเตอร์พีซขึ้นหิ้งอย่างมาก เราอาจจะรู้จักผลงานของท่านในชื่อของ โรมิโอ และจูเลียต อยู่แล้ว แต่ผลงานของท่านมีมากมายกว่านั้นเยอะ ผลงานบางเรื่องยังไม่เคยถูกตีพิมพ์เลยด้วยซ้ำไป การครบรอ 400 ปีของท่าน ทำให้ทางอังกฤษได้มีการจัดกิจกรรมมากมายเพื่อเป็นการระลึกถึง ไม่ว่าจะเป็นการจัดแสดงบางส่วนของละคร โรมิโอ และจูเลียต หน้าบ้านของ เช็คสเปียร์ส ซึ่งตอนนี้ถูกดัดแปลงเป็นพิพิธภัณฑ์เกี่ยวกับตัวท่านไปแล้ว อีกด้านหนึ่งห้องสมุดของอังกฤษได้มีการจัดแสดง หนังสือที่รวบรวมผลงานของเช็คเสปียร์สในยุคแรกเอามาให้ดูกันด้วย ผลงานบางชิ้นจากหนังสือเล่มนี้ยังไม่เคยเปิดเผยหรือนำไปดัดแปลงเป็นการแสดงใดๆเลย เซร์บันเตส กวีเอกจากสเปน อีกฝั่งหนึ่งของยุโรป เป็นความบังเอิญเหลือเกินที่ประเทศสเปน ก็จัดให้มีการเฉลิมฉลองให้กับ มิเกล เด เซร์บันเตส เจ้าของผลงานวรรณกรรม Don Quixote (ดอน กิโฮเต้) ด้วย ผลงานเรื่องนี้ถูกยกย่องว่าเป็นหนังสือที่ดีที่สุดในโลก เมื่อถึงวาระสำคัญอย่างนี้เลยต้องมีการจัดเฉลิมฉลองกัน โดยเฉพาะเมือง …

นักกวีคนสำคัญของจีน

ประเทศจีนถือว่าเป็นอีกหนึ่งประเทศในโลกที่มีการเก็บบันทึกประวัติศาสตร์มาอย่างยาวนาน ไม่เพียงแค่ความรู้ แนวคิด ปรัชญาด้านการทำสงคราม การบริหารบ้านเมืองเท่านั้น ยังมีนักกวีอีกหลายคนที่สอนหลักคิด แนวคิด ปรัชญาอันลึกล้ำจนส่งต่อมาถึงปัจจุบันได้ เราเลยขอถือโอกาสนี้นำเสนอนักกวีคนสำคัญจากหน้าประวัติศาสตร์จีนว่ามีใครบ้าง หลี่ไป๋ ยอดกวีราชวงศ์ถัง คนแรกเชื่อว่าหลายคนอาจจะไม่รู้จักนั่นคือ หลี่ไป๋ ยอดกวีในยุคราชวงศ์ถัง ก่อนอื่นต้องบอกก่อนว่า ราชวงศ์ถังเป็นยุคสมัยที่ค่อนข้างเปิดกว้าง เสรีภาพเลยสำหรับชนชั้นปัญญาชน หลี่ไป๋เองก็เป็นหนึ่งในนั้น เค้าเป็นนักกวีมีชื่อเสียงตั้งแต่วัยหนุ่ม จนได้เข้าสู่วงการข้าราชการ น่าเสียดายด้วยนิสัยถือดี และการไม่เก่งเกมการเมือง ทำให้เค้าก้าวไปได้ไม่ไกลนักจนสุดท้ายต้องออกมาเป็นนักท่องเที่ยวแบบเดิม บทกวีของเค้าจะเป็นการชมความงามธรรมชาติพร้อมกับสอดแทรกแง่คิด ปรัชญาชีวิต ยกตัวอย่างเช่น ทาขึ้นภูเขาในมณฑลเฉสวน ยากกว่าการปีนขึ้นท้องฟ้า เป็นต้น ชีหยวน กวีชาตินิยม คนต่อไปได้แก่ ชีหยวน กวีคนนี้ถือว่าเป็นคนมีคาแรกเตอร์ค่อนข้างชัดเจนมาก ทั้งบุคลิก ลักษณะนิสัย และงานเขียนของเค้าเอง ชีหยวนเกิดอยู่ในสมัยจ้านกว๋อ ซึ่งเป็นยุคแห่งสงครามระหว่างก๊กต่างๆมากมาย ชีหยวน เป็นชาวก๊กฉู่ ก๊กอิทธิพลใหญ่เป็นอันดับหนึ่งเคียงข้าง ก๊กฉิน ตอนนั้นทั้งสองก๊กต่างต้องการระดมคนเพื่อเพิ่มฐานกำลังให้กับคนเอง ชีหยวนก็เป็นหนึ่งในนั้น แต่การขัดแย้งกับกลุ่มการเมืองทำให้เค้าโดนสาดโคลนจนหมดความสำคัญไปเรื่อยพร้อมกับการล่มสลายของก๊กฉู่ เมื่อก๊กฉู่โดนตีแตกเค้าก็ฆ่าตัวตายตามไป ผลงานของเค้าต้องเป็น หลีเซา บทกวีบอกเล่าเรื่องราวทางการเมืองผสมความโรแมนติค ที่ใส่อารมณ์พรรณนาแบบเต็มเปี่ยม ไม่เหมือนใครเลย นี่คือ หนังสือประวัติศาสตร์สมบูรณ์ฉบับหนึ่งของจีนเลยก็ว่าได้ เถายวนหมิง กวีลูกทุ่ง กวีคนต่อไปนี้ อาจจะแตกต่างจากสองคนแรก นั่นคือเราเป็นนักกวีลูกทุ่ง เป็นนักกวีที่ชอบอยู่กับสายลม …

รำวงมาตรฐานมีที่มาที่ไปอย่างไร ใครรู้บ้าง

ประเทศไทยเราเป็นอีกหนึ่งประเทศที่มีศิลปวัฒนธรรมอันสวยงามและอายุยืนนานเก่าแก่ไม่แพ้ชาติใดในโลก นอกจากวัฒนธรรมด้านการกินแล้ว การดนตรี แสดงออก นาฏศิลป์ของบ้านเราก็นับว่าเก่าแก่เช่นกัน หนึ่งในศิลปะทางด้านการแสดงของไทยเรานั่นก็คือ รำวงมาตรฐาน แม้ว่าจะเคยได้ยินกันหนาหู แต่เชื่อเหอะว่าเราจำไม่ได้หรอกว่า รำวงมาตรฐานเป็นมาอย่างไร รำวงมาตรฐานมีต้นแบบมาจากไหน รำวงมาตรฐานนั้น หากเราสืบประวัติย้อนขึ้นไปจะพบว่าการรำชนิดนี้มีต้นแบบการรำมาจากศิลปะพื้นบ้านอันมีชื่อว่า รำโทน ซึ่งการรำโทนนี้จะมีลักษณะการรำเป็นวงกลม จับคู่กันระหว่างชายและหญิง บริเวณกลางวงจะมีครกตำข้าววางเอาไว้ ด้านข้างจะมีเครื่องดนตรีประกอบจังหวะเพื่อสร้างดนตรี ความสนุกสนานร่วมกัน การร้องรำทำเพลงลักษณะนี้เน้นความสนุกสนานร่วมกัน ไม่ได้มีแบบแผนตายตัวกำหนดไว้ ส่วนชื่อรำโทนมาจากการนำ โทน เป็นเครื่องประกอบจังหวะหลักนั่นเอง การยกระดับรำโทน เมื่อการรำโทนได้รับความนิยมมากขึ้น ทำให้นายกรัฐมนตรีในขณะนั้นอย่าง จอมพล ป.พิบูลสงคราม ได้เห็นถึงความสำคัญในการอนุรักษ์ศิลปะวัฒนธรรมของชาติให้คงอยู่สืบไป จึงได้มีแนวคิดให้มีการปรับปรุงรำโทนให้มีแนวทางชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นการร้อง ท่ารำ การแต่งกาย เพื่อทำให้รำโทนมีความนิยมมากขึ้น จึงได้มีการนำรำโทนมาพัฒนาเป็น ท่ารำวงมาตรฐาน จนถึงในปัจจุบันนั่นเอง เพลงที่ใช้ในการรำวงมาตรฐาน เพื่อเป็นการอนุรักษ์การเล่นรำวงมาตรฐานเอาไว้ จึงได้มีการแต่งเพลงเอาไว้สำหรับการรำวงมาตรฐานโดยเฉพาะ ซึ่งมีทั้งหมด 10 เพลงด้วยกันคือ เพลงงามแสงเดือน, เพลงชาวไทย, เพลงรำซิมารำ, เพลงคืนเดือนหงาย, เพลงดวงจันทร์วันเพ็ญ, เพลงดอกไม้ของชาติ, เพลงหญิงไทยใจงาม, เพลงดวงจันทร์ขวัญฟ้า, เพลงยอดชายใจหาญ และเพลงบูชานักรบ เป็นต้น ทั้ง 10 เพลงนี้ก็จะมีความหมายแตกต่างกันไป บ้างก็เป็นเพลงสำหรับเกี้ยวพาราสี, เพลงปลูกใจ, …