วันนี้เราจะมาพูดถึงการพัฒนาของร้อยกรองไทยกัน ในยุคแห่งการเริ่มต้นนั้นคือ ในช่วง พ.ศ. 2470 – 2490 นั้น กวีในหลายๆ ท่านได้รับอิทธิพลทางด้านแนวคิดและรูปแบบมาจาก ร้อยกรองตะวันตก ผลงานร้อยกรองในรูปแบบสั้นๆ ได้เริ่มที่จะปรากฏมากขึ้น กวีที่ใครต่อใครต่างมองว่าท่านนั้นเหมาะสมแก่การริเริ่มสร้างผลงานแนวใหม่นั้นคือ ครูเทพ เจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี ในด้านของรูปแบบนั้น มีทั้งฉันท์ โคลง กาพย์ กลอน ที่น่าสนใจ
มากมาย ครูเทพนั้น ได้ริเริ่มโดยการเอารูปแบบของเพลงพื้นบ้านนั้นมาเขียนร้อยกรองได้อย่างงดงาม ในด้านเนื้อหานั้นจะเป็นแนวการวิพากษ์วิจารณ์สังคม เศรษฐกิจ การเมือง ฯลฯ
วิสัยเด็กเปรียบได้กับไม้อ่อน ที่ดัดร้อนรนไฟนั้นไม่คร่ำ
ดัดเย็นได้ไฉนจักไม่ทำ ดัดด้วยน้ำรักกระด้างอ่อนดังใจ
เก็บไม้เรียวห่อไว้ตู้เหล็ก สำหรับเด็กเกกมะเหรกและเหลือขอ
ทารกอ่อนเยาว์วัยใช้ลูกยอ และหุ้มห่อ ด้วยรักจักมีชัย
ซึ่งในยุคสมัยนั้นยังมีนักกวีอีกหลายท่านที่น่าสนใจ เช่น น.ม.ส. และ นายชิต บูรทัต ซค่งกวีทั้ง 2 ท่านนี้ยังคงเคร่งฉันทลักษณ์ตามกวีในแบบโบราณอยู่
ภายหลังยุคสงครามมหาบูรพา บรรยากาศของร้อยกรองร้อยแก้วนั้น มีชีวิตชีวามากขึ้น แนวคิดศิลปะเพื่อศิลปะ เป็นแนวคิดเชิงเสรีนิยมได้ถูกจัดขึ้นมาเป็นงานร้อยกรองเพื่อชีวิต โดยเฉพาะชีวิตของเหล่าประชาชนตาดำๆที่ทุกข์ยากและขมขื่น กวีกลุ่มนี้นั้นได้แก่ นายผี หรือ นาย อัศนี พลจันทร์ เป็นผู้ที่ริเริ่มในการปูเส้นทางรวมไปถึงการผลิตผลงานที่มีคุณภาพออกมา และได้มีอิทธิพลต่อกวีในยุคหลังๆ ผลงานที่ดังในช่วงนั้น
เปิบข้าวทุกคราวคำ จงสูจำเป็นอาจิณ
เหงื่อกูที่สูกิน จึงก่อเกิดมาเป็นคน
ข้าวนี้นะมีรส ให้ชนชิมทุกชั้นชน
เบื้องหลังสิทุกข์ทน และขมขื่นจนเขียวคาว
จากแรงมาเป็นรวง ระยะทางนั้นเหยียดยาว
จากรวงเป็นพราว ล้วนทุกข์ยากลำบากเข็ญ
ยุคแห่งความเพ้อฝัน ในช่วงปี พ.ศ. 2501 – 2506 หลังจากการปฏิวัติของ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เมื่อปี พ.ศ.2501 นักเขียนในส่วนใหญ่นั้นได้ถูกจับกุม มีผลทำให้วรรณศิลป์นั้นได้มีความเปลี่ยนแปลงไปยังแนวแห่งความเพ้อฝัน และสะท้อนสังคมด้วยวิธีที่นุ่มนวล ไม่ก้าวร้าว งานร้อยกรองในส่วนใหญ่นั้นจะมุ่งเน้นไปทางกลอนรักตัดพ้อต่อว่าหนุ่มๆ สาวๆ เสียมากกว่า นักกลอนส่วนใหญ่ในยุคนี้จะอยู่ในรั้วมหาวิทยาลัย ได้แก่ เนาวรัตน์ พงไพบูลย์ , ประยอม ซองทอง, นภาลัย สุวรรณธาดา ฯลฯ ผลงานเช่น
อย่านะหวั่นไหวใจห้ามขาด ใจตวาดแล้วใจใยผวา
ตาร้องไห้ใจก็ตามไปห้ามตา สมน้ำหน้าหัวใจร้องไห้เอง
ยุคแห่งการแสวงหาในปี พ.ศ. 2506 -2510 รูปแบบและแนวคิดใหม่ๆของร้อยกรองนั้นได้เกิดขึ้น แบ่งออกเป็นหลายแนวด้วยกัน
- กลุ่มสืบทอดแนวเพ้อฝันหรือแสดงอารมณ์ส่วนตัว
- กลุ่มสะท้อนชีวิตสังคมรุ่นใหม่
- กลุ่มปลดแอกฉันทลักษณ์
ยุคศิลปะเพื่อมวลชน 14 ตุลาคม 2516 – 6 ตุลาคม 2519 จากเหตุการณ์นองเลือดนั้น ทำให้บรรยากาศทางด้านการเมืองได้เปลี่ยนไป นับจากเหตุการณ์วิปโยคนักเขียนในหลายๆคนนั้นได้ทำการบันทึกถึง เรื่องราว และสดุดีวีรชนที่เสียชีวิตอย่างมากมาย ด้วยอารมณ์ที่สะเทือนใจ เช่น
ใบไม้มีรอยพรุนกระสุนศึก
ในน้ำลึกมีร่องโลหิตฉาน
เสียงลึกลับขับร้องฟ้องร้องพยาน
และเนิ่นนานนับแต่นั้นฉันสุดทน
ยุคพฤษภาทมิฬ 4 พฤษภาคม 2535 – ปัจจุบัน บรรยากาศร้อยกรองไทยนั้น ได้มีความเปลี่ยนแปลงมาจนถึงปัจจุบัน ในช่วงพฤษภาเลือด เกิดเหตุวิกฤตทางการเมือง เมื่อผู้นำรัฐบาล พลเอกสุจิดา คราประยูร โดนขับไล่เหล่าทหารลุยฆ่าประชาชน พลังผู้ต่อต้านได้เรียกร้องหาประชาธิปไตย บทร้อยกรองในช่วงนี้นั้นเรียกๆได้ว่าสะท้อนความเจ็บปวด ร้าวลึกผนึกด้วยหยาดเลือด และหยาดน้ำตาของแผ่นดินเลยก็ว่าได้